
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552
Types of Skin Cancer: Warning Signs of Skin Cancer To Watch Out For

มะเร็งผิวหนัง

มะเร็งผิวหนังเป็นมะเร็งที่พบได้น้อย ประมาณร้อยละ 5 ของมะเร็งทั้งหมด มักพบในผู้ที่มีอายุมาก กว่า 40 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง
1. แสงอัลตราไวโอเลต (UVA,UVB) พวกที่ต้องทำงานกลางแดด เล่นกีฬากลางแจ้ง ชอบอาบแดด จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง
2. เชื้อชาติ คนผิวขาว ผมสีบลอนด์ ผิวไหม้แดดง่าย มีโอกาสเสี่ยงสูง เพราะมีเม็ดสีที่ผิวหนังน้อย ความสามารถในการป้องกันเซลล์ผิวหนังจากแสงอัลตราไวโอเลตจึงน้อยกว่าคนผิวคล้ำ คนที่เป็นโรคผิวหนัง Albinism ซึ่งมีความผิดปกติของการสร้างเม็ดสี จะพบมะเร็งผิวหนังได้บ่อย
3. การได้รับสารเคมีก่อมะเร็ง เช่น สารหนูที่ปนอยู่ในน้ำ ยาหม้อ ยาไทย ยาจีน ยาลูกกลอน
4. แผลเป็นจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลจากผื่นผิวหนังบางโรค เช่น DLE
5. มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง
6. เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV ที่ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ
7. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายไต
8. ผิวหนังในบริเวณที่เคยได้รังสีรักษา
9. คนที่สูบบุหรี่นานๆ จะเกิดมะเร็งในช่องปากได้
ภาพประกอบจาก Internet
การป้องกันและรักษา
มะเร็งทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นที่อวัยวะใด ถ้าสามารถตรวจพบตั้งแต่แรก และกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกได้หมด ก็สามารถหายขาดได้ มะเร็งผิวหนังมีข้อเด่นคือ ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เราสามารถมองเห็นได้ จึงทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้รวดเร็ว และยังติดตามการรักษาได้ง่าย
คนปกติทั่วไป จะมีเม็ดไฝ ขี้แมลงวัน เกิดขึ้นตามผิวหนังได้ทุกช่วงอายุ พออายุมากขึ้นก็มีพวกกระ หูด ติ่งเนื้อต่างๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่า รอยโรคใดอาจเป็นมะเร็งผิวหนัง

อาการที่บอกว่าอาจเป็นมะเร็งผิวหนัง
1. ไฝที่เป็นอยู่เดิม มีรูปร่างเปลี่ยนไป อาจใช้หลักง่ายๆ คือ ABCD ดังนี้ A= ASYMMETRY ลักษณะของไฝทั้งสองข้างไม่เหมือนกันB=BORDER IRREGULARITY ขอบของไฝไม่เรียบC=COLOR สีของไฝไม่สม่ำเสมอD=DIAMETER ขนาดของไฝใหญ่กว่า 6 มม.
2. มีผื่นหรือก้อนที่เกิดขึ้นใหม่ และไม่หายใน4-6 สัปดาห์
3. ไฝหรือปานที่โตเร็ว และรูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิม มีอาการคัน แตกเป็นแผล และมีเลือดออก
4. แผลเรื้อรังไม่หายใน 4 สัปดาห์
ภาพเปรียบเทียบมะเร็งผิวหนังกับไฝธรรมดา ภาพด้านบนเป็นภาพมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (แถบซ้าย) เทียบกับไฝธรรมดา (แถบขวา) สูตรในการตรวจคือ 'ABCD' ได้แก่ 'asymmetry (ไม่สมมาตร หรือแบ่งเป็น 2 ซีกคู่แฝดไม่ได้) ไม่เหมือนไฝที่มักมีรูปคล้ายลู่แข่งวิ่ง, 'border (ขอบไม่เรียบ ไม่สม่ำเสมอ), 'color' (มีสีหลายสีในก้อน), 'diameter' (เส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 6 มิลลิเมตร ข้อนี้ไม่ชัดเจนเท่า 3 ข้อข้างต้น)
ภาพมะเร็งผิวหนัง
ขอขอบคุณ พ.ญ. สุหัทยา อังสุวรังษี
Breast Cancer Stages: Importance of Knowing Breast Cancer Stages
Determining the breast cancer stages is important since it enables the patient and doctor to identify the treatment necessary for one’s condition. Also, it is essential in assessing the risk of the given condition and what lifestyle changes the patient can do to improve their health.Identifying A Breast Cancer's Stage
When talking about breast cancer stages, it is aimed at describing the extent of the cancer in the body. So, if you ask how a breast cancer is staged, doctors often start to classify whether it is invasive or non-invasive. Other factors considered are the tumor size, number of nymph modes involved, and what other parts of the body it has managed to affect.
Determining a cancer's stage is helpful during prognosis and deciding on a treatment option.
To determine the stage, a few standard procedures are done by the doctor on a patient. They undergo physical exam and biopsy to acquire the data needed by the doctor for the diagnosis.
If needed, further tests are also conducted such as imaging tests that include x-ray, bone scans, mammograms for the breasts, CT scans, positron emission tomography (PET), and magentic resonance imaging.
What Are the Breast Cancer Stages?
Now that the importance of determining the different breast cancer stages have been clarified, as well as the methods used to identify them, it is now time to move on to discussing each of the stages. Take note of the features and extent of the cancer in each of the stages:
Breast Cancer Stage 0
This stage renders the case of breast cancer to be non-invasive. At this point of the breast cancer, cancer or non-cancerous cells cannot be detected yet.
The abnormal cells are still at the stage wherein they try to spread out within the specific part of the breast where the cells are rooted. Also, they can try to expand on the neighboring tissues as the cancerous cells continue to grow.
Breast Cancer Stage I
Once the breast cancer enters this stage, it is now categorized as an invasive type of breast cancer. Meaning, the cancer cells have now worked their way towards the neighboring tissues. Stage I breast cancer also exhibit the following characteristics:
• The cancerous tumor has reached the size of 2 centimeters. • No lymph modes are affected.
Breast Cancer Stage II
For this particular stage of breast cancer, it is also known as an invasive type of cancer and is broken down into two more categories:
1) Stage IIA
Even in this particular stage, the conditions can be different:
• A tumor does not exist in the breast but cancerous cells are detected in the lymph nodes.• A tumor could exist but measures less than 2 centimeters;• The tumor has expanded beyond 2 centimeters but less than 5 centimeters without reaching the lymph nodes.
2) Stage IIB
This invasive level of the cancer are recognized as either one of the following:
• The tumor exceeds 2 centimeters in size but less than 5 centimeters, while also reaching the lymph nodes.• The tumor is more than 5 centimeters in size but has not yet reached the axillary lymph nodes.
Breast Cancer Stage III
1) Stage IIIA
In this stage, the tumor could either be detected or not. Aside from the axillary lymph nodes, cancer can also stick to other structures outside of the lymph nodes and become clumped together.
2) Stage IIIB
In this stage, the tumor can grow in size and affect other areas of the body outside of the actual breast, whether th chest wall or skin of the breast. This is the stage wherein inflammatory breast cancer takes place.
3) Stage IIIC
In some cases, sign of breast cancer might not be detectable yet. However, the tumor could already be spreading towards the breast skin, chest wall, and below your collarbone.
Breast Cancer Stage IV
In this level, the cancerous cells have managed to spread to various organs of the body. Therefore, the cancer is no longer restricted on the breast and lymph nodes, which signifies the initial diagnosis of breast cancer. The reason why diagnosis is done only during this stage is because cancerous cells were not detected while still within the breast.
Recognizing breast cancer stages does more than just identifying treatment options, but also enables doctors and patients to understand the developmental pattern of the disease.

ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรักษาโรคร้ายนี้จะรู้สึก "ดีขึ้น"เมื่อเล่นโยคะ
"ตามความคิดของพวกเราเชื่อว่าการเล่นโยคะแบบง่ายๆ และใช้ช่วงเวลาแค่สั้นๆ ไม่นานมาก จะมีประโยชน์มากต่อการช่วยลดปัญหาอาการข้างเคียงที่ผู้ป่วยอาจเจอระหว่างเข้ารับการฉายรังสี" ลอเรนโซ่ โคเฮน นักจิตวิทยา ผู้ริเริ่มการทดลองชิ้นนี้กล่าว
การเล่นโยคะ เป็นการผสมผสานกันระหว่าง การทำสมาธิ, การผ่อนคลาย, จินตนาการ, การควบคุมลมหายใจ, การยืดเส้น และเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งถึงแม้ว่า การทดลองนี้ยังเป็นเพียงการทดลองเล็กๆ และเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น แต่โคเฮนก็ว่านี่เป็นหนึ่งในการทดลองที่มีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นที่ทำการทดสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ในการทดลองที่โคเฮนร่วมกันทำกับทีมนักวิจัยของศูนย์โรคมะเร็ง เอ็ม.ดี.แอนเดอร์สัน แคนเซอร์ มหาวิทยาลัยเท็กซัส ในสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 61 คนที่ผ่านการผ่าตัด และกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนรับการฉายรังสีเป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม ให้กลุ่มผู้ป่วย 30 คนต้องเข้าคลาสเล่นโยคะสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ส่วนกลุ่มที่เหลือไม่ต้องเล่นโยคะ
หลังจากนั้น พอครบ 6 สัปดาห์ ทีมงานวิจัยก็จะให้กลุ่มผู้ป่วยทั้งหมดตอบแบบสอบถาม ที่จะถามรายละเอียดต่างๆ อาทิ ความสามารถในการยกข้าวของ เครื่องใช้,ความสามารถในการเดินเป็นระยะทาง 1.6 กิโลเมตร รวมทั้งความสามารถในการทำกิจกรรม หรือสิ่งต่างๆ แล้วยังเรื่องความรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย, อารมณ์ ความรู้สึก รวมทั้งเรื่องของคุณภาพชีวิตต่างๆ โดยตั้งคะแนนของแบบสอบถามมีตั้งแต่ 1-100 คะแนน
แล้วผลลัพธ์ที่ทีมวิจัยพบก็คือ กลุ่มผู้ป่วยที่เล่นโยคะจะได้ "คะแนนสูง" ในเกือบทุกเรื่องทุกหัวข้อ แทบจะสรุปได้ว่าประสิทธิภาพความสามารถทางร่างกายของผู้ป่วยได้คะแนนสูงถึง 82 คะแนน ขณะที่กลุ่มไม่เล่นโยคะได้คะแนนเพียง 69 คะแนน
ทั้งนี้ ผลการทดลองบอกว่า กลุ่มผู้ป่วยที่เล่นโยคะต่างบอกว่าพวกเธอรู้สึกเลยว่า สุขภาพโดยทั่วไปดีขึ้น รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง และหลับช่วงกลางวัน ไม่บ่อยนัก
แต่ในเรื่องของความรู้สึกซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ทีมงานเล่าว่าไม่พบความแตกต่างใดๆ ระหว่างกลุ่มผู้ป่วยทั้งสอง
โคเฮนและทีมงาน ซึ่งได้นำเสนอผลงานวิจัยของพวกเขาในงานประชุมสัมมนาทางการแพทย์ จัดขึ้นเมื่อไม่นานที่เมืองแอตแลนต้า โดยสมาคม American Society of Clinical Ontology เล่าว่า เขายังได้เจาะเลือดและขอตัวอย่างน้ำลายของกลุ่มผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไปแล้ว เพื่อจะนำไปตรวจดู การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคภายในร่างกาย และวัดดูระดับความเครียด แต่ขณะนี้ผลการตรวจยังไม่เสร็จ ส่วนในอนาคต เขาก็เตรียมจะทำการทดลองขั้นต่อไป โดยจะเปรียบเทียบดูผลระหว่างการยืดเส้นกับโยคะ ว่าให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร โดยจะแบ่งกลุ่มคนไข้ให้อีกกลุ่มเล่นยืดตัว ยืดเส้น อีกกลุ่มก็เล่นโยคะไป ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการทดลองศึกษาอยู่หลายชิ้นที่พยามยามจะดูประโยชน์ของการเล่นโยคะที่มีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะการเล่นโยคะแบบทิเบตอย่างทีมของโคเฮน เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้เงินสนับสนุนก้อนใหญ่มีมูลค่าถึง 2.4 ล้านดอลลาร์จากสถาบันโรคมะเร็ง The National Cancer Institude เพื่อให้ศึกษาถึงผลลัพธ์ของการเล่นโยคะแบบทิเบตที่มีต่อหญิงผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ผ่านการผ่าตัดและกำลังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยการให้ยาหรือเคมีบำบัด มาถึงบรรทัดนี้ อาจมีหลายคนรู้สึกอยากฟังความรู้สึกของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ผ่านการเล่นโยคะดูบ้างว่าเธอรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ เทเรซิต้า ลาดริลโล วัย 52 หญิงชาวเมืองฮุสตันที่มาเข้าคลาสโยคะที่ศูนย์โรคมะเร็ง เอ็ม.ดี.แอนเดอร์สัน เล่าว่าการยืดเส้นยืดกล้ามเนื้อ ช่วยให้แขนขวาของเธอที่ยึดตึง เนื่องจากแผลที่เกิดจากการผ่าตัด สามารถยืดงอได้ดีขึ้น แล้วการฝึกควบคุมลมหายใจก็ช่วยให้เธอรู้สึกสงบ และนอนหลับได้ดี
เตือนภัย กินแล้วนอน ... โรคกรดไหลย้อน อาจถามหา
กรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร และในบางรายอาจไหลย้อนขึ้นมาถึงคอ และกล่องเสียงได้ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไป เกิดความเครียด มีความเร่งรีบในการทำงานทำให้ผู้คนนิยมรับประทานอาหารจานด่วนที่อุดมไปด้วยไขมัน คาร์โบไฮเดรต และแคลอรี่สูง รวมทั้งการแพทย์ที่ก้าวหน้า และเครื่องมือที่ทันสมัยทำให้สามารถตรวจ และวินิจฉัยโรคนี้ได้มากยิ่งขึ้นด้วยภาวะนี้เกิดเนื่องจากพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ อาการสามารถเกิดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มต้นอาจไม่รู้สึกว่ามีความผิดปกติหรือมีอาการแต่อย่างไร และผู้ป่วยบางรายอาจไม่เคยมีอาการของโรคกระเพาะหรือรักษาโรคกระเพาะมาก่อนเลยก็ได้น้ำกรดจะระคายเคืองหลอดอาหารทำให้เยื่อบุอาหารเกิดการอักเสบ ผู้ป่วยจะเจ็บในอก รู้สึกแสบร้อนในอกได้โดยเฉพาะเวลาเรอ นอกจากนั้นกรดยังสามารถระคายเคืองกล่องเสียงและคอหอยได้ด้วย ซึ่งอาการที่บริเวณคอหอยและกล่องเสียง คือ1.เสียงแหบเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง โดยเฉพาะเสียงแหบในเวลาเช้า
2.รู้สึกขมในปากและคอหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
3.คอและกล่องเสียงอักเสบบ่อยๆ รักษาหายได้ไม่นานก็กลับมาเป็นใหม่อีก
4.ระคายคอ และกระแอมบ่อยๆ รู้สึกว่าคอไม่โล่ง
5.ไอเรื้อรัง แต่พบว่าปอดปกติดี
6.กลืนอาหารลำบาก กลืนติดๆ กลืนไม่ลง กลืนแล้วเจ็บในคอ
7.ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกๆ ในคอ ลมหายใจมีกลิ่น มีกลิ่นปาก
8.มีเสมหะในคอจำนวนมาก
9.รู้สึกว่าเหมือนมีเสมหะไหลลงคออยู่เรื่อยๆผู้ป่วยบางท่านอาจมีแค่อาการใดอาการหนึ่ง ในขณะที่บางท่านอาจมีหลายๆ อาการร่วมกันได้ อาการต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่ามีเนื้องอก หรือก้อนมะเร็งในคอ ทั้งนี้เมื่อทำการตรวจวินิจฉัยแล้วแพทย์ไม่พบก้อนเนื้อเหล่านั้นเลย กรณีนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สบายใจ วิตกกังวลและยิ่งเกิดความเครียดมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อน คือ
โรคกระเพาะที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม และต่อเนื่อง
การสูบบุหรี่
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ช็อคโกแลต
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รสจัด หรือมีส่วนประกอบของมะเขือเทศในปริมาณมาก
การเข้านอนหลังรับประทานอาหารเสร็จ 2 -3 ช.ม.
ภาวะโรคอ้วน มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
การสวมเสื้อผ้าที่คับแน่น ก็มีผลทำให้เกิดโรคนี้ได้
การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาหวัดบางชนิด เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัยภาวะกรดไหลย้อนนั้นแบ่งได้เป็น 2 อย่างด้วยกัน คือ การตรวจด้วยกระจกที่ใช้สำหรับตรวจกล่องเสียงและคอโดยเฉพาะ และการตรวจด้วยการส่องกล้อง ซึ่งการส่องกล้องนั้นแยกได้ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ
ส่วนที่ 1 คือ การส่องกล้องเพื่อตรวจดูตั้งแต่ลำคอจนถึงกล่องเสียง
ส่วนที่ 2 คือ การส่องกล้องเพื่อดูหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
การส่องกล้องดูลำคอและกล่องเสียงนั้น สามารถทำได้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ใช้เวลาไม่นาน ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ และผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมา (ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร)
ส่วนการส่องกล้องดูหลอดอาหารและกระเพาะอาหารนั้น ผู้ป่วยต้องเตรียมตัวโดยงดน้ำและอาหารมาก่อน เนื่องจากต้องมีการใช้ยาชา หรือวางยาสลบ และเพื่อที่จะได้ไม่มีเศษอาหารในกระเพาะอาหารมารบกวนขณะที่ทำการส่องกล้อง
ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีอาการในอกคล้ายกับผู้ป่วยโรคปอด โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด จึงทำให้อาจต้องมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค เช่น การกลืนแป้ง การเอ็กซ์เรย์ หรือเอ็กซ์เรย์ คอมพิวเตอร์ ซึ่งการตรวจเพิ่มเติมเหล่านี้ก็ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือทรมานต่อผู้ป่วยแต่อย่างใด
สำหรับแนวทางในการรักษาภาวะกรดไหลย้อนนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 แนวทาง
แนวทางที่ 1 : แพทย์จะให้คำปรึกษาและแนะนำในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างที่มีผลต่อโรคนี้ เช่น ในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่แพทย์จะแนะนำให้งดสูบ ในผู้ป่วยที่ชอบรับประทานอาหารปริมาณมากๆ แพทย์จะแนะนำให้รับประทานอาหารแค่พอดี ไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มเกินไป ผู้ป่วยโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวมากแพทย์จะแนะนำให้งดอาหารรสจัดจำพวกเผ็ดและเปรี้ยว รวมทั้งอาหารที่มีไขมันสูงและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (ชา กาแฟ ช็อคโกแลต) และงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ด้วย รวมทั้งลดอาหารที่มีส่วนประกอบของมิ้นท์ และมะเขือเทศจำนวนมาก
แนวทางที่ 2 : คือ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเพื่อควบคุมการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งในปัจจุบันยามีอยู่หลายกลุ่ม และกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้ยา และไม่ควรซื้อยาลดกรดรับประทานเอง เนื่องจากยานั้นๆ อาจไม่เหมาะสมกับสภาวะที่ผู้ป่วยกำลังเป็นอยู่
แนวทางที่ 3 : คือ ถ้าผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นและไม่ตอบสนองต่อการรักษา 2 แนวทางแรก แพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดให้กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะอาหารนั้นกระชับขึ้น
ภาวะกรดไหลย้อนนั้น ควรได้รับการรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง การรับประทานยาเฉพาะเวลาที่มีอาการหรือเฉพาะตอนที่เป็นมากๆ มักไม่เพียงพอที่จะทำให้หายได้ และเมื่อรักษาจนอาการดีขึ้นแล้วก็ควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วให้ต่อเนื่อง เพราะโรคนี้อาจย้อนกลับมาก่อความรำคาญให้ผู้ป่วยได้อีกเรื่อยๆ ถ้าผู้ป่วยยังมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นอยู่เมื่อใดที่ผู้ป่วยเป็นโรคนี้ ท่านไม่ควรนิ่งนอนใจหรือละเลยที่จะตรวจและรักษา หรือดูแลร่างกาย เนื่องจากพบว่าภาวะน้ำกรดไหลย้อนมีส่วนสัมพันธ์กับมะเร็งของกล่องเสียง และมะเร็งของหลอดอาหารด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และมีอาการของโรคนี้มานานเกิน 5 ปี
Sleeping in a healthy way

เตือนภัย ผู้หญิง ฉีดน้ำ ช่องคลอด
รอยเตอร์ - คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอละแบมา ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาในวารสารการแพทย์ Sexually Transmitted Diseases ฉบับเดือนธันวาคม 2005 ว่า การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากการฉีดน้ำทำความสะอาดอวัยวะเพศ สามารถช่วยโน้มน้าวให้เด็กสาววัยรุ่น และผู้หญิงทั่วไปเลิกพฤติกรรมเช่นนี้ได้ รายงานชี้ว่า การฉีดน้ำทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดเป็นพฤติกรรมที่กระทำกันโดยทั่วไป ทั้งนี้มีผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ในสหรัฐฯ ถึงกว่า 1 ใน 4 ที่บอกว่า ทำเช่นนี้เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้หญิงและวัยรุ่นอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาโดยทั่วไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขมักชี้ว่า การฉีดน้ำบริเวณอวัยวะเพศเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ เนื่องจากอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพบางอย่าง อาทิ การติดเชื้อแบคทีเรีย และการคลอดก่อนกำหนด
แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการฉีดน้ำบริเวณช่องคลอดเป็นสาเหตุของปัญหาเหล่านี้จริหรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากก็เชื่อว่า พฤติกรรมนี้อาจไปทำลายสมดุลของเชื้อแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ ซึ่งอยู่ในช่องคลอด
4 Effective Weight Loss Tips
1. Clean Out Your Cupboards- Recovering alcoholics wouldn’t keep a six pack of beer in their refrigerator, so if you’re addicted to high calorie foods, why keep them around to tempt yoa? Changing your eating habits and loosing weight requires a complete lifestyle change. If you’re serious about loosing weight, you need to trash the Twinkie’s. Remove any foods that you have a tendency to binge on, especially high fat, high calorie foods. You can’t always eliminate your cravings, but without all those foods lingering around they will be easier to control.
2. Find Low Calorie Substitutes- After you raid your kitchen and remove all the fatty food products, you’re cupboards may seem a little empty. Not to worry, now you need to replace all those foods with healthy substitutes. Buy low calorie snacks. Sugar free Jell-O is great, or you can try mixing yogurt with cool whip and use it as a fruit dip. Experiment with different foods; just remember to check the labels and to watch portion sizes. Low fat doesn’t always mean low calorie. The best foods are ones you can enjoy without feeling guilty. Loosing weight isn’t about starving yourself, it’s about learning to adopt healthy eating habits.
3. Create an Exercise Routine You Enjoy- You don’t need to run a marathon, jut remember, the more active you are, the faster your metabolism, and the more calories you burn. Find an exercise program that fits your needs and that is enjoyable for you. If you dread exercising, try a different type of exercise. If you don’t like the gym, work out at home. Try different things until you find something you like. It may seem like a chore at first, but if you make it a habit, it will get easier, and eventually you will see the results.
4. Set Realistic Goals – If you weigh two hundred and twenty pounds today, and want to weigh one hundred and eighty pounds by next month, more than likely you’re going to be disappointed. While it is very important to set goals, don’t set goals you can’t achieve; they leave you feeling frustrated and overwhelmed. Focus on one day at a time, and if you break down every once in a while and binge on a box of Crispy Crèmes, don’t beat yourself up about it and quit, just do better the next day.
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552
นอนดึก อย่างไรให้ สุขภาพ ไม่เสีย
การนอน คือการพักผ่อนที่ดีที่สุด ... เชื่อเถอะว่าเป็นความจริง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้านอนคือ เวลา3ทุ่ม เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอน เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน(สาวๆฟังไว้เลยนะ)แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าบางครั้ง เราก็ทำโน่นทำนี่จนเพลิน หันมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว!!! ... แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะวันนี้มีข้อควราปฏิบัติของคนนอนดึกมาฝากกัน
ถ้าจำเป็นจะต้องนอนดึกจริงๆ มื้อเย็นของวันนั้นเราควรงดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก
ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้ได้ในบางส่วน
ควนดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งอุ่นๆหรือน้ำอุ่นธรรมดา+น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้
เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า
มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่าเพราะย่อยง่าย
และข้อสุดท้ายสำคัญมาก ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้
เตือนภัย หากมีคนโอนเงินผิดเข้ามาที่บัญชีเรา

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนา
มีคนโทรเข้ามาบอกว่าเป็นพนักงานแบงค์กรุงเทพฯ
บอกว่ามีลูกค้าโอนเงินเข้ามาที่บัญชีเราผิด บอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด
แล้วก็บอกให้โอนเงินกลับด้วย
เพราะว่าลูกค้าคนนั้นเดือดร้อนมาก เราก็บอกว่าขอไปเช็คก่อน
พอวันเสาร์เราไปกดตังค์ก็พบว่ามีเงินเข้ามาบัญชีเราผิดตามจำนวนที่เค้าบอกจริงๆ ก็เลยโอนคืนไปให้......
ก็ไม่คิดว่ามีอะไรเพราะมันก็ไม่ใช่เงินเราจริง....
จนมาวันนี้ได้รับใบแจ้งหนี้ CITIBANK มียอด Call for cash
ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน ก็เลยโทรไปเช็คที่ call center
เค้าบอกว่าเราโทรไปขอเบิกเงินสดเข้าบัญชีเราเอง เมื่อวันที่ 25 มีนา
เราก็บอกว่าไม่ได้ทำ...อย่างนี้ก็โดนหลอกแล้วซิ พนักงาน call center
ก็ได้แต่บอกให้ไปแจ้งความ
ซึ่งก็ยังดีที่เราเก็บ silp ที่เราโอนเงินไว้นะ......จะรบกวนผู้รู้ค่ะ
ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะไปแจ้งความที่ไหน
แล้วตำรวจจะช่วยเราได้ไหม เพราะจำนวนเงินนั้นก็หลายหมื่นเลยค่ะ จากคุณ : jupjib
วิธีแก้ไข หากเจอแบบนี้
ไม่ต้องทำรายการโอนครับ ถึงจะมีการโอนเข้ามาผิดจริง
ทางธนาคารสามารถทำรายการแก้ไขได้เองอยู่แล้ว การทำรายการโอนเงิน
เท่ากับเราเป็นผู้สั่งโอน การแก้ไขจะทำได้ลำบากขึ้น หรือหากเป็นการโอนจาก
ATM หรือ CDM ให้ขอหลักฐานเป็นหนังสือออกโดยธนาคารมาให้เราก่อน
(ตัวจริงนะครับ)
แล้วเช็คข้อมูลกับธนาคารต้นทางก่อนจนแน่ใจ อีก 4-5 วันค่อยโอนก้อไม่เสียหาย
เพราะไม่ได้มีเจตนาโกง ฟ้องมาก้อชนะแน่นอน ถ้าเป็นการทำรายการโอนผิด
ธนาคารแค่แจ้งลูกค้าปลายทาง แล้วจัดการเองได้เลยแน่นอน
นี่เป็นวิธีหลอกลวงแบบใหม่ เพื่อนๆ โปรดระวัง แจ้งเตือนกันให้ทั่ว
คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนดี...อยากคืนเงินคนที่เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว
ดังนั้นมีโอกาสตกหลุมนี้ได้ไม่ยากเลย
เจ้าของบัญชีที่รับโอนกลับคงเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก
ถูกจ้างให้เปิดบัญชีพร้อมบัตร ATM ได้เงิน 200-300 บาทก็เอาแล้ว คนโกงก็กด
ATM เชิดไปแล้วหลายหมื่น
ข้อควรระวังเรื่องนี้
1. ถ้าโอนผิดจริงแบงก์สาขาจะสามารถจัดการได้เองเลย เราไม่ต้องทำอะไรครับ
2. เบอร์โทรเข้ามาถ้าแปลกๆ แบบไม่แสดงเบอร์ หรือ เป็นแบบโทรจาก internet
ให้ระวังไว้ก่อนเลยครับ
3. ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตควรทำลายอย่าให้เหลือเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ หรือ
เลขบัญชีธนาคารที่ตัดอัตโนมัติ โปรดกระจายข่าวเรื่องนี้ไปยังเพื่อนและญาติๆ
โดยด่วน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายการหลอกลวงเช่นนี้ครับ
โรคที่เกิดจากการใช้ คอมพิวเตอร์

โรคนี้มีความคล้ายกับโรคจากการทำงานซ้ำซาก ซึ่งนักกายภาพบำบัดอธิบายว่า พบมากในผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน มักจะมีอาการชาข้อมือ หรือที่เรียกว่า กลุ่มอาการอุโมงค์ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) เกิดเนื่องจากการใช้งานซ้ำๆ ที่บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบๆ ข้อมือหนาตัวขึ้นแล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้ ซึ่งการรักษานอกจากทางกายภาพ โดยใช้ความร้อนทำให้บริเวณที่จับหนาตัวขึ้นนิ่มลงและยืดมันออก ทำให้อุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านขยายตัวได้ แต่ถ้าผู้ที่เป็นมากๆ จะมีอาการชาจนกระทั่งกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงไป การผ่าตัดคือ วิธีรักษาที่ดีที่สุด
ส่วนโรคต่อมาชื่อโรคนั้นอาจจะดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว … 'โรคทนรอไม่ได้' (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนานๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมากๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ ท่านจึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงาน และพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไว้บ้าง มิฉะนั้นท่านจะเป็นคนที่เสียทั้งงานและเสียทั้งเพื่อนได้
'โรคภูมิแพ้' สำหรับโรคนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอ และคอมพิวเตอร์ สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวดศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
เตือนภัย คนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ
คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภยันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียวแต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัวซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน"ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว"ดังนั้น ตลอดปี 2547 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภคความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย8 สัญญาณอันตรายของ มะเร็ง
1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด 2. กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน
3. มีอาการเสียงแหบ และไอเรื้อรัง
4. มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น
5. แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย
6. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย
7. มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
8. หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็ง
1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย
2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือน ว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีสัญญาณ เหล่านี้ เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส
4. มีอาการที่บ่งบอกว่า มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็ง ชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่ม นี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน
การ ตรวจมะเร็ง เต้านม ด้วยตัวเอง
การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ควรตรวจภายใน 7-10 วัน ของรอบเดือน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือน หรือ ทุกเดือนหลังจากหมดประจำ เดือนแล้ว การตรวจเต้านมอย่างถูกวิธี จะช่วยให้พบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มแรกได้ โดยมี้นตอนการตรวจ ดังนี้สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็กให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างคลำไปทิศทางเดียวกับที่ใช้ในท่านอน
สำหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้นิ้วมือข้างนั้นประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้ตรวจคลำเต้านมด้านบน
หลังอาบน้ำเสร็จแล้วจึงทำการตรวจขึ้นต่อไป
ขั้นที่ 2 การตรวจหน้ากระจก ก. ยืนตรงมือแนบลำตัวให้สังเกตุเต้านมทั้งสองข้างต่อไปยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะเต้านมว่ามีการดึงรั้งของผิวหนังบริเวณเต้านมส่วนใด หรือระดับเต้านมเท่ากันหรือไม่ ข. ยกมือเท้าสะเอว เอามือกดสะโพกแรง ๆ เพื่อให้เกิดการเกร็ง และหดตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตุว่ามีรอยนูนหรือบุ๋มที่ผิวหนังของเต้านมหรือไม่
ขั้นที่ 3 การตรวจในท่านอน นอน หงายใช้หมอนใบเล็ก ๆ หนุนใต้สะบักข้างที่จะตรวจให้อกเด่นขึ้น และยกมือไว้ไต้ศีรษะ แล้วใช้ฝ่านิ้วมือ( นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง )อีกข้างหนึ่ง คลำให้ทั่ว ๆ ทุกส่วน ของเต้านมโดยเฉพาะส่วนบนด้านนอกมีเนื้อหนามากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งบ่อยที่สุด ใช้มือซ้ายตรวจเต้านมด้านขวาใช้มือขวาตรวจเต้านมด้านซ้ายในลักษณะ เดียวกัน ที่สำคัญคือห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งความจริงไม่ใช่



สารอาหาร 5 อย่าง ลดความเสี่ยง มะเร็ง
สาเหตุของโรคมะเร็งนั้นก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็เชื่อว่าเกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น สารเคมี จุลินทรีย์ต่างๆ และสาเหตุภายในจากร่างกาย เช่น กรรมพันธุ์ผิดปกติ ฮอร์โมนไม่สมดุล การระคายเคือง และภาวะโภชนาการ เราจึงอยากจะมาแนะนำสารอาหารที่ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 5 กลุ่มด้วยกัน ที่ทางกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข เขาบอกมา นั่นก็คือทำอย่างไร ไม่ให้เป็น มะเร็ง
โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งมีวิธีปฏิบัติตน เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ดังนี้- ไม่สูบบุหรี่ เลิกเคี้ยวหมาก ไม่ดื่มสุรามากจนเกินไป
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มอาหารที่มีปริมาณกากใยสูง เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นต้น - หลีกเลี่ยงจากสารก่อมะเร็ง เช่น สารเคมีต่างๆ การสูดดมควันบุหรี่ หรือควันจากท่อไอเสีย หรือน้ำมันเบนซิน อาหารใส่ดินประสิว อาหารรมควัน อาหารที่ไหม้เกรียมจากการปิ้ง ย่าง ทอด และไม่รับประทาน อาหารที่มีเชื้อราขึ้น เป็นต้น
- ลดอาหารไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์สีแดง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัด
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิด
- องกันการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ โดยเลิกรับประทานปลาน้ำจืดดิบ ๆ ที่มีเกล็ด
- หลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็ง ที่สามารถตรวจพบได้ในระยะแรก คือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง มะเร็งต่อมลูกหมาก
- ปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
เตือนภัย อันตรายจาก แปรงสีฟัน เก่าบ่อเกิดโรคร้าย คาดไม่ถึง!!
เดลิเมล์- ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด ในหนังสือเล่มใหม่ ‘เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้?' เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัยตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผลเล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือดแนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candidaขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่นดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด“เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตรายในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน” ไอดริสเสริมนอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกันความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรงการศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้งด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น
14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง มะเร็ง
มะเร็งร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พามันไปฝังตัวตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึงเซลล์มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสารอาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด
แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับบาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ
3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่
4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น
5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน
6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย
7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา
8) กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น
9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา
10) ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้
11) ปะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย
12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ
13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมดครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ "อยาก" อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข" หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ
ด้วยวิถีแห่งการมี "ไลฟสไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ)ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552
พริกน้ำปลา ภัยเค็ม สะสม
อรพินท์ บรรจง จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลการลงพื้นที่ในการทำโครงการพัฒนาตำรับอาหารท้องถิ่นสำหรับผู้สูงอายุ ที่ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี และ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม สนับสนุนโดยสำนัก งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. พบว่าทางกลุ่มผู้นำชุมชนวางถ้วยพริกน้ำปลาไว้บนโต๊ะให้ผู้สูงอายุ แต่พริกน้ำปลานั้นไม่ได้จัดให้อยู่ในชุดอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุดังกล่าว และอาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุโดยไม่รู้ตัวเทคนิคกิน ของย่าง ให้ห่างจาก มะเร็ง
ที่สำคัญ อย่ากินอาหารที่ไหม้นะครับ :)
